A little bit about me :)

My name is Phimnipha Kiratiwirapakorn but everybody called me Pim.

Internet Rules and etiquette.

This is a guide to keeping everyone in line while we are online. :)

Hero

Private Henry Tandey, the real gentleman of World War I.

Heroine

Lyudmila Mykhailivna Pavlichenko

Weapon

VOFalconLimitedEdition.

Book recommendation

Why CEOs Fail?

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Lyudmila Mykhailivna Pavlichenko


"นักฆ่าหน้าหวาน"
ลูดมิลา มีคาอิลิฟนา พาบลิเชนโก(Lyudmila Mykhailivna Pavlichenko) 
#สไนเปอร์หญิงผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล สุดยอดนักแม่นปืนในตำนานอันดับสามของโลก
 
จำนวนศพทหารนาซีเยอรมันที่ร่วงจากน้ำมือเธอคนนี้ เท่าที่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการในการรบช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ "309 ศพ" ในจำนวนนี้มีสไนเปอร์/ทหารซุ่มยิงเช่นเดียวกันกับเธอถึง 36 ศพ

เธอเกิดในวันที่ 12 กรกฏาคม 1916 ที่เมืองBelaya Tserko...v/เมืองบิลา เซอร์คอฟ มีความหมายว่า โบสถ์สีขาวรัฐUkrain(ช่วงนั้นยังรวมอยู่กับสหภาพโซเวียตรัสเซีย)
ต่อมาครอบครัวเธอย้ายไปที่เมือง Kiev ตอนที่เธออายุได้ 14 ปี ที่นั่นเธอเป็นสมาชิกสโมสรนักยิงปืนและเริ่มพัฒนาฝีมือ ขณะเดียวกันทำงานเป็นพนักงานประจำโรงงานสรรพาวุธที่ Kiev Arsenal factor

ในเดือนกรกฏาคม 1941 Pavlichenko อายุได้ 24 ปี กำลังศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาประวัติศาสตร์ที่ Kiev University ฮิตเลอร์ดันฉีกสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมัน-รัสเซีย ใช้ยุทธการบาบารอสซาโถมกำลังเข้าตีทหารแดง เปิดฉากถล่มโซเวียต
#เธอก็ตัดสินใจดร็อปเรียนปี4และอาสาร่วมรบโดยสมัครเป็นทหารราบเพื่อออกรบในแนวหน้า โดยทางเจ้าหน้าที่ไม่เชื่อว่าจะใช้ปืนเป็น เธอจึงโชว์ศักยภาพในการยิงปืนของเธอ จนต่อมาได้ย้ายไปประจำกองทัพ Red Army’s 25th Rifle Division
และเพราะเธอเป็นนักยิงปืนที่่ผ่านการฝึกมาร่วมสิบปี 
เธอจึงใช้เวลาเพียง 2 เดือนครึ่งปลิดชีพทหารเยอรมันไปเกือบ 200 คน 
ตอนแรกเธอมิอาจทำใจให้ยิงข้าศึกได้ จนกระทั่งหนึ่งในพลทหารที่ยังเยาว์วัยที่อยู่ข้างตัวเธอถูกเป่าดิ้น ทำให้เธอหมดความลังเลใจในการยิงข้าศึกอีกต่อไป

ในเดือนมิถุนายน ปี 1942
เธอได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืนครก
แต่เพราะตำแหน่งที่สูงขึ้นและเป็นที่รู้จักมากแล้ว
(ทหารซุ่มยิงเยอรมันนีก็พยายามจะล้างแค้นเอาคืนให้ได้)
เธอจึงถูกดึงตัวออกจากสนามรบไปไม่ถึงเดือน

หลังจากฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ Pavlichenko เดินทางไปเยี่ยมเยือนแคนาดากับสหรัฐอเมริกา ในปี 1942 ในฐานะตัวแทนของรัฐบาลสหภาพโซเวียตรัสเซีย เธอเป็นประชาชน/พลเรือนคนแรกของรัสเซียที่ได้รับการต้อนรับจากประธานาธิบดีFranklin Roosevelt ที่ทำเนียบขาว
เธอพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ จึงต้องใช้ล่ามในการพบปะเจรจา เธอแต่งเครื่องแบบทหารตลอดเวลาจนสื่อมวลชนอเมริกาประเภทชั้นเลวเขียนข่าวแขวะเธอว่า"อ้วน กินจุ กินอาหารเช้าแบบอเมริกันถึง 5 ชุดในตอนเช้า ไม่แต่งหน้า ทาปากแต่อย่างใด
แต่งเครื่องแบบทหารหญิงรุ่มร่ามเพื่ออำพรางความอ้วน"
แต่เธอให้สัมภาษณ์ว่า "การแต่งเครื่องแบบทหารการให้เกียรติกับอดีตท่านผู้นำ Lenin"

ส่วนสื่อมวลชนอเมริกาที่ชื่นชมเธอขนานนามเธอว่า
ทหารหญิงซุ่มยิงที่เก่งที่สุดในโลกด้วยผลงาน 309 ศพ
ผู้บุกเบิกอาชีพทหารหญิง (
#ยุคนั้นอเมริกายังไม่มีทหารหญิง)
"ผู้มีบทบาทยกระดับและสถานะภาพสตรีให้เท่าเทียมกับบุรุษ"

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงแล้ว
เธอกลับไปเรียนต่อที่ Kiev University
แล้วศึกษาต่อจนจบปริญญาโทประวัติศาสตร์ที่ Bohdan Khmelnytsky
โดยมีอาชีพเป็นนักประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ปี 1945 ถึง 1953
เธอยังเป็นผู้ช่วยวิจัยกองทัพเรือ Chief HQ of the Soviet Navy
ต่อมาได้ร่วมงานในคณะกรรมการทหารผ่านศึกโซเวียต
(Soviet Committee of the Veterans of War)

เธอได้รับรางวัลเหรียญดาวทองคำวีรสตรีของสหภาพโซเวียตรัสเซีย
(Gold Star of the Hero of the Soviet Union)
และมีการนำรูปถ่ายเธอมาเป็นสแตมป์สหภาพโซเวียตรัสเซียด้วย

เธอจากโลกนี้ในวันที่ 10 ตุลาคม คศ.1974/พ.ศ.2517 ที่กรุงมอสโคว์ สหภาพโซเวียตรัสเซีย มีอายุรวมได้ 58 ปี


https://en.wikipedia.org/wiki/Lyudmila_Pavlichenko
http://englishrussia.com/2012/03/08/outstanding-soviet-female-snipers-of-wwii/
http://pantip.com/topic/32475255
http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?action=printpage;topic=107820.0
 

หลัก"เนียน"เป็นผู้ดีง่ายๆ...เมื่อต้องนั่งโต๊ะแบบพิธีการทางตะวันตก





คนไทยชินกับการกินอาหารด้วยช้อนส้อมหรือแบบโต๊ะจีนไปเลย เวลาได้นั่งโต๊ะแบบพิธีการทางตะวันตก จะรู้สึก"ใจสั่น/มือสั่น"😂 #มีดส้อมละลานตาไปหมด(ยิ่งโต๊ะที่นั่งกันแบบไหล่ชนไหล่ มีดส้อมจะวางต่อกันจนแยกไม่ออกว่ามันส้อมหรือมีดของใคร เริ่มต้นจากอันไหนหว่า)

หลัก"เนียน"เป็นผู้ดีเก่าง่ายๆ👸 คือ
1.เมื่อถึงโต๊ะอาหารเจ้าภาพผู้อาวุโสและสุภาพสตรีจะนั่งก่อน คุณสุภาพบุรุษอาจจะเข้ามาแย่งบริกรเลื่อนเก้าอี้ให้คุณผู้หญิ...งเองเลยก็ได้ #ดูคุณชายจุฑาเทพเชียวล่ะ

2.ผ้าเช็ดปากที่พับอย่างสวยงามถ้าไม่วางด้านซ้ายก็อยู่บนจาน..#มื้อกลางวันให้หยิบมาคลี่เต็มผืนมื้อค่ำคลี่ออกครึ่งผืนวางบนตักโดยหันด้านปิดเข้าหาตัว ถ้าต้องลุกจากโต๊ะระหว่างมื้อให้นำผ้าวางลงบนเก้าอี้

3.ไม่ว่าเขาจะจัดถ้วยชามส้อมมีดแก้วน้ำแก้วไวน์อย่างไร #ใช้ตามลำดับจากนอกมาใน อย่างอื่นไม่ใช่เรื่องของเรา ไวน์ หากเราไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก็สามารถปฏิเสธได้เขาจะรินก็รินไปเราไม่ดื่มก็วางไว้อย่างนั้น คว่ำแก้วไว้ก็ได้ ถึงเวลาเขาก็ถอนไปเองตามลำดับ
#แต่หากเป็นแชมเปญที่จะต้องดื่มเพื่ออวยพร(Toast) เราไม่ควรปฏิเสธหรือคว่ำแก้วเพราะจะเป็นการเสียมารยาท ดื่มพอเป็นพิธีโดยที่ไม่ต้องดื่มจริงได้ โดยการยกแก้วขึ้นแตะริมฝีปากเฉยๆ
#นี่จะเป็นวิธีที่จะทำให้วุ่นวายและหน้าแตกน้อยที่สุด

4.ขนมปังจะเสิร์ฟด้านซ้ายมือเสมอ #อย่าเผลอไปหยิบด้านขวา(นั่นเป็นของคนข้างๆ)ใช้มือบิเป็นชิ้นพอคำ ใช้มีดเล็กสำหรับปาดเนยทาเนยแล้วก็ทาน

ซุป ตักซุปไปด้านหน้า คือตักออกจากตัว แล้วรับประทานจากข้างช้อน #ไม่นำทั้งช้อนเข้าปาก ถ้วยซุป มีแบบจาน(plate)และแบบถ้วย(cup)แบบถ้วยจะมีหูด้านข้างให้จับที่หูแล้วยกซดเบาๆได้...แบบจานเอียงจานตักได้แต่ก็ควรเอียงไปด้านหน้าจะทำให้แขนเรากางน้อยกว่าไม่รบกวนคนที่นั่งข้าง ทานซุปเสร็จแล้ววางไว้ที่จานรอง อย่าทิ้งคาชามนะคะ

5."ส้อมมือซ้าย มีดมือขวา คว่ำส้อม" นิ้วชี้กดด้ามส้อมกับด้ามมีด จิ้มเนื้อไว้แล้วหั่น ใช้ส้อมจิ้มเนื้อเข้าปากโดย #ไม่หงายส้อมอย่างเวลาเราหงายช้อนเมื่อตักเข้าปาก
(ข้อนี้พิมก็พลาดบ่อย มันชินมือ 55+) แต่ถ้ากินข้าวหรืออาหารชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ต้องตัก ก็อนุโลมให้หงายส้อมแบบหงายช้อนได้บ้าง

วิธีกินแบบอเมริกันแทบจะเรียกได้ว่าตรงข้ามกับอังกฤษ จับส้อมซ้าย จับมีดขวาเหมือนกันแต่หั่นอาหารเสร็จ #ต้องวางมีดเปลี่ยนส้อมจากมือซ้ายมามือขวาวางมือซ้ายบนตัก แล้วถึงจิ้มอาหารส่งเข้าปากด้วยมือขวาตลอด ด้วยเหตุนี้เวลาหั่นอาหารเขาจึงไม่หั่นชิ้นกินชิ้นแบบอังกฤษ แต่จะหั่นเป็นชิ้นเล็กพอคำรวดเดียวหมดจานแล้วจึงเปลี่ยนส้อม จิ้มกินเรื่อยๆทีเดียว

วิธีกินแบบ"เปลี่ยนส้อม"แม้ว่าเป็นแบบอเมริกัน #ตามประวัติศาสตร์แล้วคือวิธีกินดั้งเดิมแบบอังกฤษสมัยก่อนโน้น ที่ถือว่ามือขวาเป็นมือที่ถูกต้องกว่ามือซ้าย เมื่อคนอังกฤษมาตั้งถิ่นฐานทางตะวันออกของอเมริกาเหนือก็เอาวัฒนธรรมเดิมมาใช้จนปัจจุบัน ส่วนคนอังกฤษนั่น มารู้สึกทีหลังว่าการเปลี่ยนส้อมจากมือซ้ายเป็นขวานี่มันยุ่งยากพิลึกแฮะ #จับส้อมมือซ้ายส่งเข้าปากทีเดียวจบเรื่อง ก็เลยกลายเป็นธรรมเนียมผู้ดีอังกฤษที่ในยุโรปใช้กันตามนี้มาจนปัจจุบัน(ส่วนผู้ดำรงวิถีดั้งเดิมตัวจริงคืออเมริกันนั้นกลายเป็นบ้านนอกกินอาหารตามมารยาทผู้ดีไม่เป็นไปเฉยเลย)

6.คนถนัดซ้ายก็ควรจะกินโดยวิธีการเดียวกันโดยเฉพาะการจัดเลี้ยงอย่างเป็นพิธีการซึ่งจะนั่งชิดกันค่อนข้างมาก การใช้มือซ้ายเอื้อมข้ามไปจับนั้นรังแต่จะให้เกิดปัญหาตามมามาก มีทั้งแขนเสื้อเกี่ยวส้อมร่วงลงไปในจานอาหาร รวมทั้งไประรานแก้วของคนอื่นล้มได้

7.หลังอาหารคาว จะมีการเสิร์ฟชากาแฟ ใส่ครีมเทียม หรือน้ำตาลแล้ว ให้คนเป็นเลข 8 จะคนเป็นวงกลมไปในทางเดียวกันก็ได้จากนั้นวางช้อนไว้ที่จานรองค่อยยกดื่ม(เอาช้อนตักแผล็บๆแบบดื่มที่บ้านไม่งาม)

ของหวานหลังอาหาร หากเป็นขนมชิ้นเล็กๆ เช่น เอแคลร์ ใช้มือหยิบได้เลย แต่ถ้าเป็นของหวานชิ้นใหญ่ๆ ที่ส่วนมากจะตัดเป็นรูปสามเหลี่ยมเริ่มตัดส่วนปลายแหลมทานก่อน..

เมื่อกินอาหารเสร็จรวบส้อมและมีดชิดกันไม่ต้องคว่ำ วางเฉียงไว้ที่จานประมาณ 5 นาฬิกา จะวางด้ามส้อมและมีดให้ตรงกับตัวเราเลยก็ได้ค่ะ ไม่ถือว่าเสียมารยาท แล้วให้เอาผ้าเช็ดปากวางบนโต๊ะด้านขวา

ปล.หากส้อม มีด ช้อน ผ้าเช็ดปากหล่น #ไม่ต้องก้มลงเก็บเองค่ะ ทำหน้ายิ้มๆสำรวมอย่าเลิ่กลั่กวุ้ยว้าย เรียกบริกรแล้วขออุปกรณ์ที่ตกนั้นมาเปลี่ยนเนียนๆ ถ้าได้นั่งข้างคนที่ไม่รู้จัก พิมมักจะทำส้อมร่วงตลอด จะได้แกล้งให้สุภาพบุรุษข้างๆเป็นคนขอส้อมจากบริกรให้ใหม่ #จะได้ขอบคุณแล้วหาเรื่องคุ ร้ายยยยยยยชิ้ป้ะ 👸
แต่พลาดทำหล่นจริงๆก็มีบ้าง...55+ #ส้อมในพิธีการเป็นเงินแท้ซะเยอะมันจะหนักกว่าส้อมปกติ

...และควรใช้ผ้าเช็ดปากซับปากเป็นระยะๆเพื่อป้องกันไม่ให้คราบอาหารติดที่ขอบแก้วอย่างไม่น่าดู
 

Why CEOs Fail?





Why CEOs Fail เนื้อหาเป็นการวิเคราะห์และจำแนก #ผู้นำ11ประเภทที่ไม่น่าพึงประสงค์(ซึ่งใช้ประยุกต์ได้ในหลากหลายกรณีทั้งด้านธุรกิจและการปกครอง)
เขียนโดย ดร. เดวิด แอล. ดอทลิช (David L. Dotlich)และ ดร. ปีเตอร์ ซี. ไคโร (Peter C. Cairo) เช่น

1. ผู้นำผู้เย่อหยิ่ง (Arrogance) ผู้ที่ข้ามจาก “ความมั่นใจ” ไปสู่ “ความเย่อหยิ่ง” มักจะเป็นผู้นำที่ก้าวสู่ตำแหน่งระดับสูงอย่างรวดเร็วและได้พัฒนาความเชื่อมั่นในค...ามคิดเห็นของตนเอง และเมื่อยิ่งประสบความสำเร็จมากขึ้น #มีคนเยินยอมากขึ้นก็อาจจะเกิดความเชื่อมั่นมากเกินไป (Over-Confidence) เกิดอาการดื้อดึง และมองว่าตนเองเท่านั้นที่เป็นฝ่ายถูก แต่คนอื่นผิดหมด

2. ผู้นำที่มีอารมณ์อ่อนไหวเกินความเป็นจริง (Melodrama) คือ ผู้นำที่มีการพูด การกระทำ และอารมณ์ที่เกินความเป็นจริงจนเป็นจุดสนใจเพื่อลดทอนบทบาทของ ผู้อื่นเช่น อวดใหญ่โต พูดถึงสิ่งที่เกินความเป็นจริง เป็นต้น

3. ผู้นำที่มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย (Volatility)คือ ผู้นำที่เปลี่ยนจากอารมณ์หนึ่งไปเป็นอีกอารมณ์หนึ่งโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุและเอาแน่อะไรไม่ได้ ไม่สามารถคาดเดาการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ได้

4. ผู้นำที่รอบคอบจนเกินเหตุ (Excessive Caution)

ต้องใช้ข้อมูลมากมายในการวิเคราะห์จนกระทั่งตัดสินใจไม่ทันการณ์

5. ผู้นำผู้ไม่ไว้ใจใคร (Habitual Distrust)
สงสัยผู้อื่นอย่างไม่สมเหตุสมผล ไม่มีเหตุผลประกอบ หรือมีอคติ มองผู้อื่นด้วยความหวาดระแวงขี้กลัว และไม่ไว้ใจผู้ใด

6. ผู้นำที่ตัดขาดจากโลก (Aloofness) คือ ผู้นำที่พอเครียดปุ๊ปจะถอยหนีจากสังคมและไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น

7. ผู้นำที่ชอบออกนอกกฎ (Mischievousness)ผู้ที่ไม่ชอบทำตามกฏ เพราะคิดว่ากฏทุกอย่างมี"ข้อยกเว้น"

8. ผู้นำที่ชอบทำตัวไม่เหมือนใคร (Eccentricity) คือ ผู้นำที่รู้สึกสนุกที่จะทำอะไรไม่เหมือนผู้อื่น เพียงเพราะต้องการที่จะไม่เหมือนผู้อื่น จนดูเหมือนจะมีความ creative แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำอะไรให้เกิดเป็นรูปธรรมได้

9. ผู้นำที่ชอบต่อต้านด้วยความเงียบ (Passive Resistance) คือ ผู้นำที่ปากบอกว่าชอบ แต่พอลับหลังกลับไปโพนทะนาบอกคนอื่นว่าไม่ดี เพราะไม่กล้าบอกตรงๆ

10. ผู้นำจอมสมบูรณ์แบบ (Perfectionism) คือ ผู้นำที่หมกมุ่นอยู่กับรายละเอียดเล็กๆที่ตนกังวล ขี้บ่น (Micromanager)จนมองไม่เห็นเรื่องใหญ่ๆที่เกิดขึ้นรอบตัว

11. ผู้นำปากหวาน (Eagerness to please)คือ ผู้นำที่ชมเป็นอย่างเดียวไม่เคยว่าผู้อืนๆ เพราะไม่ชอบการเผชิญหน้าโดยตรง ไม่กล้าไล่ใครออก ขาดความเด็ดขาดในการตัดสินใจ ใช้พระเดชไม่เป็น
พฤติกรรมเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้นำหลายท่านทั้งด้านธุรกิจ สังคม การเมือง
#ประสบความล้มเหลวมาแล้วมากมาย โดยปรากฏขึ้นชัดเจนเมื่อ“ผู้นำอยู่ภายใต้ความกดดัน”

ใครอยากเป็นใหญ่ อยากเป็นเจ้าของกิจการ บริหารบริษัท/องค์กร ทำงานที่ต้องควบคุมคนจำนวนมาก สมควรต้องต้องเรียนรู้ และใช้ “ความรู้เท่าทัน”เป็นเครื่องมือในการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ ปล.ฉบับแปลไทยรู้สึกจะชื่อ "เก่งได้ ก็ล้มได้"


http://www.oknation.net/blog/taoja1/2008/05/10/entry-3
http://www.amazon.com/Why-CEOs-Fail-Behaviors-Derail/dp/0787967637

VOFalconLimitedEdition



คิดว่าปืนที่แพงที่สุดในโลกขณะนี้...ราคาน่าจะประมาณเท่าไร? เดากันถูกมั้ยนะ? 💰


#VOFalconLimitedEdition 🔫  เป็นปืนไรเฟิลแฮนด์เมดสุดหรูที่ผลิตในประเทศสวีเดน ผลิตมายั่วน้ำลายเศรษฐีอาหรับ...ทุกกระบอกล้วนเป็นผลงานการประดิษฐ์ของนายวิกโก้ ออลซอนผู้ก่อตั้งบริษัท และนายอูลฟ์ ออลซอน บุตรชายของเขาทั้งสิ้น

เป็นที่รู้กันในหมู่นักสะสมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อพระวงศ์ชาวอาหรับและเหล่าคนดังว่าบริษัทของนายวิคโก้ ออลซอนนี...้ มีความเชี่ยวชาญในการประดิษฐ์ปืนแฮนด์เมดชนิดพิเศษที่ไม่เพียงสวยงาม โดดเด่น หายาก ผลิตขึ้นจำนวนจำกัด และมีสิทธิบัตรคุ้มครอง

โดย #VOFalconLimitedEdition นี้ ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจาก วัฒนธรรมการฝึกเหยี่ยวในโลกอาหรับที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ จึงมาพร้อมลวดลายแกะสลักรูปเหยี่ยวสุดปราณีต ลำกล้องรูปแปดเหลี่ยมผลิตจาก “เหล็กดามัสกัส”เหล็กผลิตดาบคุณภาพเยี่ยมที่มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ชาวอาหรับมาตั้งแต่สมัยสงครามครูเสด นับเป็นปืนไรเฟิลรุ่นแรกและรุ่นเดียวในโลก ที่ลำกล้องผลิตจากเหล็กดามัสกัส ทั้งยังสามารถเปลี่ยนขนาดลำกล้องได้หลากหลายในกระบอกเดียว ด้ามและตัวปืนผลิตจากรากไม้วอลนัท ซึ่งนายวิกโก้และลูกชายจะเดินทางไปเลือกต้นไม้(ที่จะถูกขุด)ทั่วยุโรปด้วยตนเอง

โดยจะถูกผลิตเพียง 5 กระบอกเท่านั้น สำหรับกระบอกแรก(ในภาพ)ผลิตแล้วเสร็จ ส่งมอบแล้ว ส่วนที่เหลืออีก 4 กระบอกจะผลิตตามคำสั่งซื้อ ทุกกระบอกจะมีเอกลักษณ์โดดเด่นและลวดลายไม่ซ้ำกัน ลูกค้าส่วนใหญ่จะอยู่ในตะวันออกกลาง และหนึ่งในลูกค้าขาประจำของบริษัทก็คือ “ชีค โมฮัมเหม็ด บิน ซาเอด อัล นาห์ยัน” มกุฏราชกุมารแห่งรัฐอาบูดาบ

เฉลย : "25,000,000.-ล้านบาท"ค่ะ(กระบอกละ $820,000)
ยังไม่ได้คิดภาษีนำเข้า ถ้านำเข้ามาขายในบ้านเรานะ
#ปืนไทยแพงทุกกระบอกค่ะ
ค่าภาษีนำเข้าปืน ของไทยเราเก็บ 40%
ส่วนนอกนั้นเป็นค่า . . . . .
 


https://www.youtube.com/watch?v=W9mD7rOPkl0
https://funkertactical.com/the-worlds-most-expensive-rifle-vo-falcon-limited-edition/
http://churn.tv/c/1hrgzqyf11vsp/v/1jia0ook2orc2
 

Netiquette : Internet Rules and etiquette.





This is a guide to keeping everyone in line while we are online. :)




  • Remember that...Anything you post/comment will eventually become PUBLIC. 
  • For other people's opinion, you can disagree but do not disrespect. 
  • Be polite to everyone. 
  • No bullying or fighting here. 
  • No spam or any advertise. 
  • Do not share your personal information with anyone. 
  • Do not share personal information such as e-mail or phone number with intent to defame others person. 
  • Do not offer text related to illegal or the morality of society. 
  • Do not offer a message could cause conflict in educational institutions or in any society. 
  • Do not offer text that criticize to damage the religion...every religion. 
  • Do not offer text message or content that implied nudity, porn,obscene or violent. 
  • Do not insult the royal family including refer to criticize any monarchy and royalty. 




"Please, keep calm and obey our rule!!!"



วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Private Henry Tandey, the real gentleman of World War I.

         
"I took aim but couldn't shoot a wounded man so I let him go."
       ผมเล็งไปที่เขา แต่ผมไม่สามารถยิงคนที่บาดเจ็บอยู่ได้ ดังนั้น ผมจึงปล่อยเขาไป


 
Private Henry Tandy is a British soldiers who mercy spared German soldiers in World War I. The one of them is "Adolf Hitler." #The Nazi dictator who led the world into World War II.
พลทหาร เฮ็นรี่ แทนดี้ ทหารอังกฤษ ผู้ซึ่งเมตตาไว้ชีวิตทหารเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 และทหารเยอรมันผู้นั้นคือ #จอมเผด็จการนาซีผู้ที่นำโลกไปสู่สงครามโลกครั้งที่2ในอนาคต...
 
Later, he realized that the German soldiers who survived because of his kindness...one of them is a German military officer named "Adolf Hitler" are also included.
ต่อมา เขาก็ได้รู้ว่าหนึ่งใน...ทหารเยอรมันที่รอดชีวิตไปจากความเมตตาของเขานั้น มีผู้หมู่ทหารเยอรมันนายหนึ่งที่ชื่อ "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" รวมอยู่ด้วย 
 
Tandy had said before he died in 1977. (at the age of 86 years)
แทนดี้ได้กล่าวก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 1977 เมื่ออายุ 86 ปี ว่า
 
"only I had known what he would turn out to be. When I saw all the people, woman and children, he had killed and wounded I was sorry to God I let him go"
ถ้าเพียงแต่เขาจะรู้ว่า ฮิตเลอร์จะกลายเป็นอะไรในอนาคต...ทุกครั้งที่เขาเห็นผู้คน ผู้หญิงและเด็ก ที่บาดเจ็บล้มตายจากสงคราม...เขารู้สึกผิดต่อพระเจ้าเสมอ ที่ได้ปล่อยให้ฮิตเลอร์มีชีวิตต่อไปในวันนั้น
 
Hitler never forget the moment that a man who spared his life. 
ฮิตเลอร์ไม่เคยลืมช่วงเวลาที่ชายผู้หนึ่งได้ไว้ชีวิตเขา 
When he was a Prime Minister of Germany in the year 1933.
เมื่อฮิตเลอร์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมันในปี 1933
He gave his staff to find Tandey and published a drawings that illustrate Tandey carry a wounded soldiers on his back. เขาให้เจ้าหน้าที่ของเขาติดตามหาแทนดี้โดยได้มีการตีพิมพ์ภาพวาดที่แสดงให้เห็นถึงช่วงที่แทนดี้ #แบกทหารที่ได้รับบาดเจ็บบนหลังของเขา
 
Hitler had a feeling that English is special because of this event.
ฮิตเลอร์มีความรู้สึกที่ดีต่ออังกฤษเป็นพิเศษ เพราะว่าเหตุการณ์ที่ว่านี้
He appreciated Tandey and took this picture hung in his private office.
เขาชื่นชมความดีของแทนดี้มากขนาดที่แขวนภาพเหตุการณ์นั้นไว้ในห้องทำงานส่วนตัวของเขา
 
I do not admired Hitler at all but I understand the causes of World War II.
ฉันไม่ได้ชื่นชมอะไรฮิตเลอร์เลยแม้แต่น้อย แต่ว่าเข้าใจสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2
 
German Empire fall by the Treaty of Versailles, the people must be shamed for pride in the nation, lost territories and colonies, economic collapse, high inflation , foreigners coming into a lot of benefits and want Germany to fell permanently....unable to revive.
 
จักรวรรดิเยอรมันต้องล้มสลายจากสนธิสัญญาแวร์ซายส์ประชาชนต้องอยู่อย่างอับอายเสียความภาคภูมิใจในชาติ...เสียดินแดนอาณานิคม
เศรษฐกิจพังทลาย อัตราเงินเฟ้อสูงลิ้ว เงินกลายเป็นกระดาษ
ต่างชาติเข้ามาตักตวงผลประโยชน์ต้องการให้เยอรมันล้มลงอย่างถาวรไม่สามารถฟื้นคืน

All of this is the "fuel" to the fire of wars.
ทั้งหมดนี้เป็น "เชื้อไฟ" ให้เกิดสงครามได้ทุกเมื่อ
 
Even without "Hitler" lead, someone would come to seize up to power and declared war anyway.
       แม้ไม่มี"ฮิตเลอร์"เป็นผู้นำก็จะมีคนอื่นเข้ามาฉวยโอกาสขึ้นสู่อำนาจและประกาศสงครามอยู่ดี

Jews do not deserve to die.
ชาวยิวไม่สมควรตาย
 
   National military did not deserve to die.
ทหารรับใช้ชาติไม่สมควรตาย
Innocent people do not deserve to die.
ประชาชนตาดำๆก็ไม่สมควรตาย
 
No one deserves to die.
But it is the "war", it was chaos that everybody was seeking benefits for themselves.
 แต่มันคือ"สงคราม มันคือความวุ่นวายที่ทุกคนต่างแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง"
 
When it comes to the point of war, human's life is valuable as a ink for statistics the number of death only. พอมันมาถึงจุดๆนี้ได้... ชีวิตมนุษย์ก็มีคุณค่าเพียงน้ำหมึกไว้ทำสถิติเท่านั้นเอง.
 
The war is so disgusting...สงครามนั้นช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก

https://www.youtube.com/watch?v=DXGrBp21t_I
https://en.wikipedia.org/wiki/Henry_Tandey
http://www.bbc.com/news/uk-england-28593256
http://www.history.com/this-day-in-history/british-soldier-allegedly-spares-the-life-of-an-injured-adolf-hitler
http://www.mirror.co.uk/news/real-life-stories/henry-tandey-vc-man-who-3009915
http://www.birminghammail.co.uk/news/local-news/private-henry-tandey-birmingham-soldier-5824583

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Ancient warfare

Famous Architecture/Archeology

Prodigy/Genius person

WWI , WWII

สงครามโลก